ปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมนั้น เป็นปัญหาในหลายๆประเทศ แต่ละประเทศก็มีการจัดการกับปัญหาต่างๆกัน เช่น เกาหลี ที่มีการตั้งตู้เอาไว้ และให้แม่ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม นำเด็กมาใส่กล่อง Baby box และใส่ตู้นี้เอาไว้ ก็เหมือนเป็นการบอกกลายๆว่า เลี้ยงเด็กไม่ไหว ฝากให้โบสถ์หรือสถานสงเคราะห์ดูแลต่อที
ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็นำประเด็นนี้มาเป็นแกนสำคัญของเรื่อง เคลือบด้วยการเดินทางของพ่อค้าเด็กที่ถูกทิ้ง แม้ว่าจะดูเหมือนน่ากลัว แต่กลับอบอุ่นตลอดการเดินทางครับ

เรื่องย่อ
“กล่องใบนี้นำพวกเขามาพบกัน”
ซังฮยอน (ซงคังโฮ) เป็นเจ้าของร้านซักรีดและเป็นอาสาสมัครทำงานให้โบสถ์ใกล้บ้าน ใครๆ ต่างก็มองว่าเขาเป็นคนใจบุญ แต่ลับหลังนั้น เขาและดงซู (คังดงวอน)
ลูกน้องคนสนิท กลับขโมยเด็กจาก “กล่องทารก” ของโบสถ์ (กล่องที่โบสถ์ทำไว้สำหรับให้พ่อแม่นำทารกที่ตนไม่พร้อมเลี้ยงดูมาวางไว้) แล้วนำเด็กไปขายในตลาดมืด
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีแทบทุกครั้ง จนกระทั่งมีแม่คนหนึ่ง (อีจีอึน – IU) ดันเปลี่ยนใจ กลับมาเอาลูกน้อยของเธอคืน ซังฮยอนและดงซูจึงพยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวเปลี่ยนใจ
ในขณะเดียวกัน ตำรวจหญิงสองคน (แบดูนาและอีจูยอง) กำลังสะกดรอยตามแก๊งค้าเด็กและหมายจะเข้าจับกุมซังฮยอนให้ได้คาหนังคาเขา
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ นำเสนอเรื่องราวของการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และกล่อง baby box รวมถึงระบบการรับบุตรบุญธรรมของเกาหลี อันที่จริงแล้ว มันก็เป็นประเด็นสังคมที่หลายๆประเทศก็ประสบกันครับ แต่ไม่แน่ใจว่าประเทศอื่นมี baby box แบบเกาหลีไหม?
สำหรับผู้ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมและไม่ได้ทำแท้ง เจ้าตู้รับฝากเด็กกับ baby box ก็เป็นจุดนึงที่ช่วยแม่ที่ไม่พร้อม และเด็กที่คลอดโดยความไม่พร้อมได้
แต่เหรียญมันก็มี 2 ด้าน แน่นอนว่า baby box นั้นช่วยเด็กได้จริง แต่มันจะทำให้คนในสังคมเกิดความมักง่าย และคิดว่าต่อให้คลอดโดยไม่พร้อม ก็แค่เอาไปใส่ baby box รอโบสถ์เอาไปเลี้ยงดูแค่นั้นหรือเปล่า?

นับเป็นการตั้งคำถามวิพากษ์สังคมเกาหลี ถึงปัญหา และต้นเหตุได้ดีครับ แม้จะดูเผินๆเหมือนจะช่วยแก้ปัญหา แต่มันก็ไม่ยั่งยืน และอาจทำให้เกิดกรณีที่ทิ้งลูกเพิ่มด้วยเช่นกัน
รวมไปถึง อาจทำให้เกิดการค้ามนุษย์ อย่างเช่นในภาพยนตร์เรื่องนี้
พ่อค้าเด็กทารกอย่าง ซังฮยอน และ ดงซู ที่รับหน้าที่เป็นนายหน้าจัดหาเด็กทารกให้กับพ่อแม่เศรษฐีที่ไม่สามารถมีบุตรได้ และไม่สามารถรอกระบวนการขอรับบุตรบุญธรรมของเกาหลีที่ใช้เวลานานได้ (ในหนังบอกแบบนั้น) ในจุดนี้ก็เป็นประเด็นเรื่องกฎหมายอีกเช่นเคย (ซึ่งเอาจริงๆก็เข้าใจกระบวนการที่มันล่าช้าได้ เพราะการรับเลี้ยงเด็กคนนึงต้องมีความพร้อมหลายอย่าง และถ้าหากว่ารับไปแล้วดันมีลูกเป็นของตัวเอง จะทำยังไงกับเด็กที่รับเลี้ยงมา)

แม่ของเด็ก ที่รับบทโดย ไอยู ที่ตอนแรกผู้ชมหลายๆคนก็คงมองว่าเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวเอามากๆ เพราะนอกจากจะทิ้งลูกตัวเองแล้ว ยังจะเอาลูกตัวเองไปขายและแบ่งเงินกับ 2 พ่อค้าเด็กทารกอีก ซึ่งในตอนแรก ไอยูก็ทำให้เราเกลียดเธอได้อย่างอยู่หมัดเลย แต่เมื่อเราได้เดินทางไปกับตัวละครก๊วนนี้ ก็ทำให้เราได้รับรู้ในมุมมองของแม่เด็ก จนทำให้เราเกิดความสงสารไปเลยทีเดียว
ด้วยความที่เรื่องนี้ จะพาเราไปรู้จักกับตัวละคร ผ่านการเดินทางของพวกเขา ทำให้เราจะค่อยๆได้รู้จักมุมมองของแต่ละคน และได้เห็นในหลายๆแง่มุมที่คนเขียนบทซ่อนเอาไว้และรอเฉลยให้เราดูผ่านการเดินทาง เหมือนกับว่าเราได้รู้จักกับคนกลุ่มนี้จริงๆเลย

ในบทภาพยนตร์นั้น ถือว่าทำออกมาได้เกือบไร้ที่ติ โดยเฉพาะการวิพากษ์สังคม สะท้อนปัญหาของสังคม และการตั้งคำถามกับผู้ชม เป็นจุดที่สุดยอดเอามากๆเลย
จุดที่ผมรู้สึกว่าด้อย ก็คงจะเป็นเส้นเรื่องของแม่เด็กที่แสดงโดยไอยู ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะเล่าแบบผิวเผินไปนิดนึง ถ้าเล่าเพิ่มมากกว่านี้ก็คงทำให้เราสามารถอินไปกับตัวละครนี้ได้มากขึ้น (เพราะว่าเธอเองก็เป็นปมหลักของเรื่องนี้ด้วย) แต่แม้ว่าจะมีขาดหายไปในส่วนนี้บ้าง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังดีงามอยู่ดี
การแสดงของนักแสดงในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าคุณภาพคับแก้วกันทั้งนั้น แสดงได้ดีจนเราอินไปกับบทบาทที่เขาถ่ายทอดมาได้เลยทีเดียว เมื่อบทภาพยนตร์ดีและนักแสดงก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ไม่ยาก รวมถึงอาจจะมีผู้ชมหลายท่านยกให้เป็น The Best ในดวงใจเลย
สรุป สำหรับใครที่ชอบหนังแนวอบอุ่นหัวใจ หรือซึ้งน้ำตาไหล ก็สามารถรับชมเรื่องนี้ได้อย่างสบายใจ เพราะคุณจะได้รับความซึ้งไปอย่างเต็มอิ่ม แต่ถ้าใครทนการเล่าเรื่องแบบเนิบๆไม่ได้ ก็คงจะไม่ถูกจริตกับเรื่องนี้ครับ แต่รับรองว่าถ้าได้เปิดใจแล้ว จะต้องชอบหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน