
หลังจากภาพยนตร์ The Joker (2019) ออกฉายและได้รับกระแสดีอย่างท่วมท้นไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาพระเอกอย่าง Batman บ้าง แต่ แต่ แต่ แต่… The Batman (2022) นี้เป็นคนละจักรวาลและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันกับ The Joker (2019) อย่างสิ้นเชิงครับ รวมถึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับ DCEU เรื่องอื่นๆด้วย (Man of Steel, Wonder Woman, Justice League, Aquaman, The Flash ฯลฯ)
เรื่องย่อ
“The Batman – เดอะ แบทแมน” นำแสดงโดย โรเบิร์ต แพททินสัน ผู้มาถ่ายทอด 2 บทบาททั้งสายลับศาลเตี้ยแห่งก็อตแธม ซิตี้ และมหาเศรษฐีผู้หยิ่งผยอง บรูซ เวย์น ในช่วง 2 ปีแห่งการย่องเดินตามท้องถนนในร่างแบทแมน (โรเบิร์ต แพททินสัน) เอาชนะความกลัวและเข้าไปพัวพันกับอาชญากรรมทั้งหลาย จน บรูซ เวย์น ถลำตัวเข้าสู่เงามืดแห่งก็อตแธม ซิตี้ โดยมีสหายที่วางใจได้เพียงไม่กี่คนอย่างอัลเฟรด เพนนีเวิร์ธ (แอนดี้ เซอร์คิส), เจมส์ กอร์ดอน (เจฟฟรีย์ ไรท์) ท่ามกลางกลุ่มผู้ทุจริตที่เลื่องชื่อของเมือง ศาลเตี้ยผู้โดดเดี่ยวต้องออกโรงแก้แค้นเพียงลำพังท่ามกลางประชาชนที่อยู่เคียงข้างเขา
เมื่อฆาตกรได้เล็งเป้าหมายเป็นกลุ่มคนระดับแนวหน้าของก็อตแธม โดยมีการวางแผนร้ายอย่างต่อเนื่อง การสะกดรอยอย่างลับๆ ครั้งนี้ได้นำสายลับผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเข้าสู่การสืบสวนในโลกของเหล่าอันธพาล เขาต้องเผชิญหน้ากับตัวละครต่างๆ ทั้งเซลินา ไคล์/ฉายา แคทวูแมน (โซอี้ คราวิทซ์), ออสวัลด์ คอบเบิลพอต/ฉายา เดอะ เพนกวิน (โคลิน ฟาร์เรล), คาร์ไมน์ ฟัลโคน (จอห์น เทอร์เทอร์โร) และเอ็ดเวิร์ด แนชตัน/ฉายา เดอะ ริดเลอร์ (พอล ดาโน่) เมื่อหลักฐานเริ่มชัดเจนมากขึ้น และแผนการของพวกเหล่าร้ายปรากฏให้เห็นได้ชัด แบทแมนต้องสานสัมพันธ์ครั้งใหม่เพื่อเปิดโปงโฉมหน้าผู้กระทำผิด และนำความยุติธรรมมาสยบการใช้อำนาจในทางมิชอบและการทุจริตที่เกิดขึ้นกับก็อตแธม ซิตี้มาอย่างยาวนาน

เนื้อเรื่องของ The Batman (2022) ในฉบับนี้นำคำว่า The World’s Greatest Detective ที่เป็น 1 ในฉายาของ Batman มาใช้เป็น main plot ได้ดีครับ
ตัวหนังจะไม่ได้มีความเป็น Superhero มากเท่าไหร่นัก แต่จะเน้นไปทางการสืบสวนเสียมากกว่า อาจเรียกได้ว่าเป็นนักสืบในชุดค้างคาว
แต่ถึงแม้ว่าเนื้อหนังแทบจะเป็นหนังสืบสวน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความเป็น Superhero แต่อย่างใด พี่แบทของเราก็ยังมีมุม Superhero ที่บู๊กับตัวร้ายด้วย โดยเฉพาะการบิลด์ให้เหล่าร้ายต้องกลัวความมืดเพราะแบทแมน อันนี้ทำได้ดีมากๆเลย
ตัวหนังดำเนินเรื่องโดยเล่าเรื่องเมืองก็อตแธมผ่านสายตาของบรู๊ซ เวย์น ที่เป็นแบทแมนมาแล้ว 2 ปี เขาพยายามเป็นศาลเตี้ยกำจัดวายร้ายที่เงื้อมมือของกฎหมายเอื้อมมาไม่ถึง แต่จนแล้วจนรอดอาชญากรรมในเมืองก็อตแธมก็ไม่ได้ลดน้อยลงเท่าไหร่นัก จนบรู๊ซมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ทำอยู่มันดีแล้วจริงหรือ?

นอกจากการหาคำตอบในการพิทักษ์เมืองของตัวเองแล้ว แบทแมนก็ยังได้มาพบความจริงอันน่าสะพรึงของเมืองก็อตแธม ที่เน่าเฟะและความชั่วร้ายแผ่ขยายไปแทบทุกพื้นที่ในเมือง หนังเล่นกับประเด็นความอึมครึมในเมืองก็อตแธมได้ดีมาก โดยแทบจะทั้งเรื่อง ภาพจะมืดและไม่ค่อยมีแสงเท่าไหร่ สื่อถึงความมืดมนของเมืองนี้ได้ดี
และหนังแทบจะไม่มีฉากที่เงียบเลย เพราะเป็นซาวด์ประกอบแทบจะทุกตอนของหนัง โดยเฉพาะช่วงสืบสวน ซาวด์ก็บิลด์อารมณ์ร่วมของเราซะเหลือเกิน จนแทบจะพุ่งเข้าจอไปช่วยพี่แบทสืบกันเลยทีเดียว

ประเด็นหลักของเรื่องที่นำมาเล่น อย่างเช่น Unmask หรือการถอดหน้ากาก ในเรื่องตั้งคำถามว่า คนที่ต่อหน้าฉากเป็นคนดีเนี่ย หลังฉากเขายังเป็นคนดีเหมือนหน้าฉากไหม ซึ่งในเรื่องก็ตีประเด็นนี้ด้วยตัวละคร The Riddler เป็นจุดประกายที่ทำให้เรารู้สึกว้าวไปกับหนังเอามากๆ เพราะปริศนาแต่ละอันของ Riddler มันยอดเยี่ยมและชวนขบคิด ทำให้เราได้ใช้สมองคิดตามจนปวดหัวเลยทีเดียว และเมื่อเฉลยก็ทำให้รู้สึกอึ้งไปด้วยเหมือนกัน
อีกประเด็นหนึ่งก็คือความเหลื่อมล้ำทางสังคมและชนชั้น ซึ่งในหนังก็ทำออกมาได้ดีและเหมือนตบหน้าบรู๊ซของเราฉาดใหญ่เลยทีเดียว สำหรับส่วนนี้ 10/10 ไม่หักเลย
เนื้อเรื่องของหนังค่อนข้างเยอะและซับซ้อนพอสมควร ทำให้ต้องให้เวลากับหนังถึง 3 ชั่วโมง ทำให้บางฉากรู้สึกว่ายืดไปบ้าง เพราะนอกจากเส้นเรื่องของพี่แบทแล้ว ยังมีเส้นเรื่องของ Catwoman อีกคน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันใส่มาพร่ำเพื่อนะ แค่รู้สึกว่ามันสามารถย่อได้ ให้กระชับกว่านี้

ในส่วนของคาแรกเตอร์แต่ละตัวละคร ส่วนของพระเอกของเรื่อง Batman (โรเบิร์ต แพททินสัน) ก็แสดงออกมาได้ดีมากๆ เป็นแบทแมนที่เน้นด้านสืบสวนได้สมจริง ทำให้ลืมภาพใน Vampire Twilight ไปซะจนหมดเลย แต่จุดที่น้อยไปหน่อยสำหรับคาแรกเตอร์นี้ก็คือ มีช่วงเวลาที่เป็นบรู๊ซน้อยเกินไป เราเจอแบทแมนไปซะ 90% ของเรื่องไปเลย ทำให้ไม่ได้รู้จักกับตัวตนใต้หน้ากากมากเท่าที่ควร
สำหรับ The Riddler (พอล ดาโน่) นั้นทำคาแรกเตอร์ออกมาได้ดี เหมือนเป็นหนุ่มเนิร์ดเงียบๆแต่แฝงแววความอันตรายเอาไว้เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะช่วงที่ตัวละครนี้ได้ปล่อยของ มันสุดยอดมากๆ เป็นคาแรกเตอร์ที่ดีโดยที่ไม่ถูกกลืนแม้ว่าจะนำไปเปรียบเทียบกับตัวร้ายสุดโด่งดังของ Batman อย่าง Joker
ส่วน Penguin (โคลิน ฟาร์เรล) บทค่อนข้างไม่มีอะไร เหมือนเป็นตัวมินิบอสเสียมากกว่า ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีซีรีส์เป็นของตัวเอง และน่าจะได้ขยายความตัวละครมากขึ้นในนั้นแทน
สรุปแล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีก 1 Batman ที่ทำออกมาได้ดีและตอบโจทย์ในแนวสืบสวนและวิพากษ์สังคมมาก เสียอย่างเดียวคือการใช้เวลา 3 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกว่านานและบางฉากยืดไปหน่อย แต่ก็เข้าใจได้ครับว่าเส้นเรื่องเยอะเลยต้องใช้เวลา ตัวละครต่างๆถ่ายทอดออกมาได้ดีและแนบเนียนมากๆ เพลงประกอบฉากก็สุดยอด ไม่ผิดหวังแน่นอน (แม้อาจจะมีหาวบ้างในบางช่วง)